มารู้จักเด็กออทิสติกกันเถอะ

คำว่า “ ออทิสติก” เป็นคำที่ฟังแล้วไพเราะ  รื่นหู  มาจากภาษากรีก ว่า   AUTISM  มีรากศัพท์มาจากคำว่า  AUTO   มีความหมายว่า  ตัวเอง  ( SELF)  ซึ่งเด็กออทิสติกเป็นเด็กที่อยู่กับตัวเอง  ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ไม่รู้ร้อนหนาว  ไม่ว่าใครจะทำอะไร อย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอย่างไรก็ตาม ในส่วนผู้เขียนเองเมื่อได้สัมผัสกับเด็กออทิสติกครั้งแรก  รู้สึกตกใจ  สั่น ทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าเขาจะทำร้าย   ซึ่งยังไม่รู้จักเด็กเหล่านี้ดี  จนกระทั่งได้ศึกษา และเข้ามาสัมผัสกับเด็กเหล่านี้อย่างจริงจัง  จึงทำให้รู้และเข้าใจว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่น่าสงสาร และต้องการความช่วยเหลือในหลาย ๆ ด้านเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีเด็กเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่ทราบว่าเนื่องมาจากสาเหตุใดแน่ แต่อาจจะเนื่องมาจากวิทยาการด้านเทคโนโลยีความทันสมัยของข้อมูลข่าวสาร  การประชาสัมพันธ์ จึงทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองสังเกตความผิดปกติและเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานมากขึ้น ก็เป็นได้ 

ลักษณะทั่วไปของเด็กออทิสติก       

          การที่จะรู้ว่าเด็กคนใดเป็นหรือไม่เป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะสังเกตได้จากพฤติกรรมในวัยเด็ก  ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก พ่อแม่อาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำ ๆ  พฤติกรรมจะเริ่มแสดงชัดเจนมากขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏเด่นชัดในเรื่องความล่าช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา  ด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคมสังเกตได้จากการที่เด็กจะไม่สบตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเหมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับใคร  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม เช่น เด็กเล็กขวบกว่า ๆ ถ้าเราเล่นกับเขา เขาจะเล่นด้วย  ส่งเสียงตอบ  แต่เด็กออทิสติก  บางทีก็จะมีบางทีก็ไม่มี  ความคงที่ของพฤติกรรมตรงนี้ไม่มี บางครั้งเราเรียกเขาอาจไม่หันแต่จดจ้องอยู่กับสิ่งที่เขามองอยู่  คือ จะสนใจวัตถุมากกว่าคนอื่น  ทำให้เขาไม่มองสบตากับเรา  ถ้าสัมผัสจั๊กจี้  เขาอาจหัวเราะ   แต่หัวเราะแบบไม่มีอารมณ์  

          ด้านการสื่อความหมาย  จะมีความล่าช้าในการพูด  หรือไม่สามารถใช้กิริยาท่าทางในการสื่อความหมายหับผู้อื่นได้บางรายที่พูดได้แล้วอาจไม่สามารถโต้ตอบได้อย่างเหมาะสม  แต่อาจพูดซ้ำๆ   ในสิ่งที่ตนเองสนใจ  โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ฟังหรือไม่  และไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นเลียนแบบสิ่งที่เคยพบเห็นในสังคมได้อย่างเหมาะสม 

           ตามปกติเด็ก 2 ขวบกว่าจะเริ่มเรียกพ่อแม่  เริ่มพูดเป็นคำ และบอกความต้องการของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว  แต่ในเด็กออทิสติกหลายคนทำเหมือนจะเรียกแล้วหายไปนาน ๆ  เข้าจะสื่อไม่เป็นคำ  ส่วนใหญ่เป็นภาษาต่างด้าวที่ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้  ยังดูได้จากพฤติกรรมที่มีความจำกัดหรือมักจะทำสิ่งใดซ้ำ ๆ  เช่น  มองพัดลมที่กำลังหมุนได้ทั้งวันไม่ละสายตา   เด็กออทิสติกจะชอบมองสิ่งของที่เคลื่อนไหว ชอบแสงไฟ หรือเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ  เช่น   กระดิกนิ้วไปมา  มีการเล่นเสียงในคอเสียงดังอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด  จะไม่สามารถยืดหยุ่นในการทำสิ่งที่เคยทำเป็นประจำ  โดยต้องทำตามขั้นตอนเหมือนเดิมทุกครั้ง  จนบางครั้งพ่อแม่อาจคิดว่าลูกเป็นเด็กเจ้าระเบียบ

เด็กออทิสติกจะขาดจินตนาการในการเล่น  อย่างเด็กทั่วไปถ้าเล่นรถก็จะเข็นและปล่อยให้รถวิ่งไป  แต่เด็กออทิสติกจะไม่ปล่อยให้รถวิ่ง  จะลากรถแล้วหยิบรถขึ้นมาดูล้อที่หมุน  นี่เป็นพฤติกรรมที่เป็นสากล  ลักษณะการเล่นจะค่อนข้างจำกัด บางคนเล่นมือ  บางคนชอบติดของเป็นเวลานานเกิน  ส่วนใหญ่เด็กออทิสติกจะมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้นหรือเรียกว่า ไฮเปอร์แอกทีฟ (Hyperactive)  ด้วย  เป็นอาการที่เด็กอยู่ไม่เป็นสุข  มีการเคลื่อนไหวมากกว่าเด็กที่มีอายุเท่ากัน  แสดงถึงภาวะการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยกว่าวัย  บางคนวิ่งพลุกพล่าน  อยู่ไม่นิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้  ขณะที่บางคนจะเป็นออทิสติกแบบนิ่งก็มีเหมือนกัน

แพทย์จะตรวจรู้ได้อย่างไรว่าเป็นออทิสติก

          เมื่อเด็กยิ่งโตขึ้นปัญหาเรื่องพฤติกรรมจะเริ่มเด่นชัดมากขึ้นจนพ่อแม่สังเกตได้  และอาจเริ่มรู้สึกกังวลใจว่าลูกเราเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมไม่เหมือนเด็กคนอื่น  กุมารแพทย์หรือจิตแพทย์จะเป็นผู้ช่วยในการวินิจฉัย  โดยศึกษาพัฒนาการของเด็กเปรียบเทียบกับความสามารถของเด็กปกติ อาศัยการซักประวัติอย่างละเอียดจากพ่อแม่  ซึ่งจะพบความแตกต่างชัดเจนในหลายด้าน   โดยดูจากพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กแรกเกิด กิน  นอน  ขับถ่าย  การแสดงออกทางพฤติกรรมการเข้าสังคม  การตอบสนองต่อสิ่งเร้า  การสบตา  การได้ยิน  การใจภาษา  การพูดและการสื่อความหมาย  พฤติกรรมซ้ำซาก  การแสดงออกทางอารมณ์  การใช้จินตนาการและการใช้กล้ามเนื้อ

          ในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือไม่  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่อาจมีการตรวจประกอบการวินิจฉัยจากพฤติกรรม  เช่น  ตรวจการได้ยิน  ตรวจคลื่นสมอง   เพราะข้อสังเกตเบื้องต้นของเด็กออทิสติกคือเมื่อเรียกแล้วจะไม่หัน  หมอจึงจะตรวจการได้ยินก่อน  ซึ่งถ้าเป็นออทิสติกจริงจะไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน  นอกจากจะมีหูหนวก   หูตึงมาร่วมด้วย

          การที่จะรู้ว่าลูกเป็นออทิสติกหรือไม่  พ่อแม่จึงเป็นคนสำคัญที่จะคอยสังเกตพฤติกรรมและพัฒนาการด้านต่างๆ  ของลูกตั้งแต่แรกเกิดอย่างใกล้ชิด

ออทิสติกเกิดขึ้นได้อย่างไร

          ปัจจุบันยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดตอบได้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าสาเหตุที่แท้จริงของออทิสติกคืออะไร   รู้เพียงแต่ว่าเป็นความบกพร่องของสมองส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัสและการรับรู้  และมีเพียงข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุของออทิสติกว่ามาจากภาวะต่างๆ ที่ทำให้สมองบางส่วนผิดปกติ  อาจเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  อุบัติเหตุทั้งระหว่างตั้งครรภ์และระหว่างคลอด  หรือเรื่องความไม่สมดุลของสารเคมีในร่างกาย  เช่น  แม่เป็นหัดเยอรมันหรือได้รับเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์   เด็กขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด   ตลอดจนการเจ็บป่วยของเด็กหลังคลอด  เช่น  โรคไข้สมองอักเสบ  ไอกรน   เป็นต้น

          กรรมพันธุ์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่พูดถึงกันมาก จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่มีลูกเป็น
ออทิสติก พบว่าในครอบครัวที่มีบุคคลออทิสติกจะมีโอกาสเป็นออทิสติกสูงกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 1 : 50  คน  ส่วนในคนทั่วไป   1 :2,500 คน ถ้าเป็นคู่แฝดจะยิ่งเกิดได้สูงถึงร้อยละ 8 – 9   รวมถึงเรื่องสภาวะแวดล้อม  มลพิษ  สารเคมีต่างๆ  ที่แม่อาจได้รับ  เหล่านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานและปัจจัยประกอบ  แต่เป็นสิ่งที่เราต้องป้องกันในการดูแลสุขภาพระหว่างการตั้งครรภ์  ระหว่างคลอดและในการดูแลเด็กระยะเริ่มแรก       

          ออทิสติกพบได้ในเด็กทั่วไป  โดยไม่จำกัดพื้นฐานทางสังคม  เช่น  การศึกษา  เศรษฐกิจ  
แต่จะพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 4 เท่า สถิติของเด็กออทิสติกประมาณ  5 – 20 คน  ใน 10,000 คน  ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเช่นกันว่าอะไรเป็นตัวการที่ทำให้ออทิสติกเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง

ระดับอาการออทิสติก

          ระดับอาการออทิสติก  ดูได้จากพฤติกรรมหรือการเรียนรู้  ไม่มีสูตรตายตัว  อาจจำแนกระดับอาการกว้าง ๆ ได้ 3 ระดับ  ดังนี้

          1.  ระดับกลุ่มที่อาการน้อย

                    เรียกว่ากลุ่ม Mild  autism  หรือบางครั้งเรียก  กลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (high functioning  autism)  ซึ่งจะมีระดับสติปัญญาปกติหรือสูงกว่าปกติ  มีพัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น  อาจมีความสามารถบางอย่างแฝงอยู่หรือเป็นอัจฉริยะแต่ยังมีความบกพร่องในทักษะด้านสังคม  การรับรู้  อารมณ์  ความรู้สึกของบุคคลอื่น         ในปัจจุบันมีผู้เรียกเด็กกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า 

แอสเพอเกอร์ (Asperger  Sydrome)  ตามชื่อแพทย์ผู้ค้นพบ  มีประมาณร้อยละ 5 – 20   ซึ่งในศูนย์วิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนรวมสำหรับเด็กออทิสติก มีเด็กกลุ่มนี้อยู่หลายคน  สามารถเรียนรวมกับเด็กนักเรียนปกติในโรงเรียนได้เต็มเวลา ถ้าไม่บอกว่าเป็นเด็กออทิสติกก็จะดูไม่ออกเลยว่าเป็นเด็กออทิสติก

  • ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง

          เรียกว่ากลุ่ม Moderate  autism  ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในการพัฒนาการศึกษา 

การสื่อสาร  ทักษะสังคม  การเรียนรู้  รวมทั้งด้านการช่วยเหลือตนเอง  และมีปัญหาด้านพฤติกรรมกระตุ้นตนเองพอสมควร   แต่สามารถพัฒนาจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้  และอาจเรียนในระบบได้ถึงระดับหนึ่ง  มีประมาณร้อยละ 50 – 75

          3.  ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง

                    เรียกว่ากลุ่ม Severe   autism   ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในการพัฒนาการเกือบทุกด้าน  และอาจเกิดร่วมกับภาวะความพิการอื่น  เช่น  ปัญญาอ่อนร่วมด้วย  รวมทั้งมีปัญหาพฤติกรรมที่รุนแรง  มีพัฒนาการช้า  หากไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการมาตั้งแต่ต้นจะสามารถพัฒนาได้แค่ช่วยเหลือตนเองได้  เรียนรู้อะไรไม่ได้มาก  มีประมาณร้อยละ 20 – 30  เป็นเด็กที่ไม่มีภาษาพูด อาจจะสงสัยว่าไม่มีภาษาพูด เป็นใบ้ หรือเปล่า  หูหนวกหรือเปล่า  ไม่ใช่เลยแต่เป็นเด็กที่มีความผิดปกติของสมองบางส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการพูดบกพร่องไป จึงทำให้ไม่สามารถพูดได้  แต่เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้  ทำอะไรได้ทุกอย่าง ช่วยเหลือตัวเองได้ดี  ทั้งนี้เนื่องจากได้รับการกระตุ้นและพัฒนามาตั้งแต่เริ่มรู้ว่าเป็นออทิสติก

ออทิสติกกินยาแล้วรักษาให้หายได้หรือไม่ ?

          ตามความเข้าใจเดิมของผู้เขียนที่ว่าเมื่อเป็นออทิสติกแล้ว เมื่อได้รับยา หรือ บำบัดแล้วจะหายเป็นปกติเหมือนกับการเป็นโรคอื่น ๆ  เมื่อได้ศึกษาจึงทำให้รู้คำตอบว่า   ออทิสติกนั้นเป็นความบกพร่องทางสมอง  ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว  ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้    จึงไม่มียาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ใดๆ  จะรักษาให้หายจากออทิสติกได้  แต่หมอจะมีการนำยาด้านจิตประสาทมาใช้  เพื่อช่วยควบคุมพฤติกรรมในเด็กบางคนที่มีอารมณ์รุนแรง   หงุดหงิด   ก้าวร้าว   ซึมเศร้า   หรือชัก   ซึ่งเป็นการใช้ยาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป  และเมื่ออาการเหล่านี้ดีขึ้นก็ต้องหยุดยา   แต่ไม่ใช่เป็นยารักษาออทิสติก  เพียงแต่ยาจะช่วยบรรเทาความรุนแรงและทำให้การฝึกฝนเด็กดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้น    ยาหลายตัวที่นำมาใช้มีผลข้างเคียง  ซึ่งยังเป็นที่คัดค้านในต่างประเทศ  จึงต้องระมัดระวังในการใช้    และยังเป็นยาที่นำมาจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพง    โดยเฉพาะถ้าซื้อในโรงพยาบาลเอกชน    อย่างไรก็ตามการใช้ยาต้องมีแพทย์เป็นผู้สั่งให้เท่านั้น

          มียาบางตัวที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมในเด็กออทิสติก  เพื่อช่วยให้การฝึกฝนเด็กดำเนินไปอย่างราบรื่น  ขอแนะนำยาที่ใช้ต่อไปนี้คือ

          1.  Risperidlo  ใช้ในเด็กที่มีความก้าวร้าว  รุนแรง  เพ้อคลั่ง  หรือทำร้ายตัวเอง

          2.  Ritrlin  ใช้ในเด็กที่มีสมาธิสั้นหรือซนมากๆ

          3.  Tegretal – cr  ใช้ในเด็กที่คลื่นสมองมีความผิดปกติ  ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชัก   จึงกินเพื่อปรับคลื่นสมอง  ป้องกันการชัก   มักจะให้ในเด็กที่อายุใกล้ๆ 10 ปี

เมื่อเป็นออทิสติกแล้วจะรักษาได้อย่างไร

          หลายคนไม่เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นโรค  เพราะถ้าเป็นโรครักษาได้โดยการกินยา  ฉีดยาก็มี
โอกาสหาย  แต่ออทิสติกไม่ใช่โรค   เป็นออทิสติกแล้วรักษาไม่หาย แต่การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่ต้นอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ดีขึ้น  จนสามารถช่วยตัวเองและดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้โดยไม่แตกต่าง หัวใจของการช่วยเหลือเด็กออทิสติกจึงอยู่ที่การกระตุ้นพัฒนาการ  ซึ่งควรทำให้เร็วที่สุด ทำอย่างต่อเนื่อง  ทำตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน  โดยต้องร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพ  ทั้งพ่อแม่  คนในครอบครัว กุมารแพทย์ จิตแพทย์  นักจิตวิทยา  นักแก้ไขการพูด  นักสังคมสงเคราะห์
นักอาชีวบำบัด

การช่วยเหลือเด็กออทิสติก

          ออทิสติกเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน  ดังนั้นการปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา  การส่งเสริมฟื้นฟูและพัฒนาพฤติกรรมที่เหมาะสม  จึงจำเป็นสำหรับเด็กออทิสติกมาก  การดำเนินการกดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเด็กดังนี้

          พ่อแม่  เป็นครูคนแรกของลูก  ต้องเอาใจใส่ให้ความอบอุ่น  รู้จักวิธีสังเกตพัฒนาการของลูก  เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาบำบัดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา  และพฤติกรรมที่เหมาะสม   พ่อแม่เด็กออทิสติกต้องมีความอดทนสูงมากกว่าพ่อแม่ของเด็กปกติทั่วไป   ทำใจยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น  ปรับสถานการณ์ภายในบ้านให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดู  และต้องไม่ผลักภาระความรับผิดชอบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว  แต่ควรจะร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อให้ลูกช่วยเหลือตนเอง  ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยที่ไม่เป็นภาระแก่สังคมเมื่อยามที่พ่อแม่แก่เฒ่าหรือเมื่อไม่มีญาติพี่น้อง

          แพทย์  หมายถึง  กุมารแพทย์  จิตแพทย์   พยาบาลจิตเวช   นักจิตวิทยา  นักฝึกพูด   นักบำบัดทั้งหลาย  ต้องร่วมมือประสานงานกับพ่อแม่และครู  ช่วยรักษาบำบัด  ให้คำแนะนำ  ฝึกอบรม  เพื่อลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา    เสริมสร้างทักษะการช่วยตนเอง  และทักษะอื่นๆ  ตามสิทธิในฐานะบุคคลออทิสติกจัดเป็นคนพิการประเภทหนึ่งดังที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2543  มาตรา 15 (1 ) ที่กำหนดให้คนพิการซึ่งจดทะเบียนแล้วต้องได้รับ  “บริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยวิธีทางการแพทย์ และค่าใช้จ่ายในการพยาบาล  ค่าอุปกรณ์ เพื่อปรับสภาพทางร่างกาย  ทางสติปัญญา หรือทางจิตใจ  หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดีขึ้นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ”

          ครูและบุคลากรในโรงเรียน    ต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเด็กออทิสติก  มีจิตใจที่เมตตา  เห็นใจและต้องการจะให้ความช่วยเหลือ ต้องมีความอดทนในการที่จะช่วยเหลือ
ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างเสริมทักษะใหม่ๆ  และให้การศึกษาพิเศษตามความถนัดของเด็ก
แต่ละคน ซึ่งเด็กออทิสติกมีสิทธิในการได้รับบริการด้านการศึกษาจากรัฐอย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไปตามนโยบาย  “ การจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ”  ของสหประชาชาติ  และการกำหนดสิทธิด้านการศึกษาของพลเมืองไทยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ 2540 มาตรา 43 ให้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย …” นั่นหมายความว่า  บุคคลออทิสติกมีสิทธิสมัครเข้าเรียนได้ทุกโรงเรียน  ทุกระดับชั้นเรียน  และทุกระบบการศึกษาเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป โดยโรงเรียนหรือหน่วยงานที่จัดการศึกษาไม่มีสิทธิปฏิเสธ

          เด็กออทิสติกติกในปัจจุบันมีจำนวนมากขึ้น  ฉะนั้นผู้ที่มีบุตรหลานที่เป็นเด็กปกติถือว่ามีความโชคดีกว่าพ่อแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติก   ในการเลี้ยงดูลูกไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กออทิสติกต่างก็ต้องการความรัก  ความอบอุ่น  ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ทั้งสิ้น   และยิ่งเมื่อมีลูกเป็นออทิสติกผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็ต้องรักและสามัคคีกันให้มากเพื่อจะได้เป็นแรงผลักดันให้มีกำลังใจที่จะช่วยเหลือลูกไม่ว่าจะเป็นการบำบัด  รักษา ปรับพฤติกรรมเด็กออทิสติก หรือแม้กระทั่งทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกออทิสติกมีการพัฒนาขึ้น ถึงแม้จะเป็นการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ตาม เหมือนกับพ่อแม่ของเด็กออทิสติกที่ผู้เขียนได้สัมผัสหลาย ๆ ท่าน ล้วนแล้วแต่มีจุดหมายเดียวกันคือ ลูกอันเป็นที่รัก  เป็นแก้วตาดวงใจนั่นเอง 

เอกสารอ้างอิง

กรมสามัญศึกษา  กระทรวงศึกษาธิการ. ชุดเอกสารการศึกษาด้วนตนเอง วิชาการศึกษาพิเศษ เรื่อง           การจัดการศึกษาสำหรับเด็กออทิสติก : โรงพิมพ์การศาสนา , กรุงเทพฯ, 2544.

กระทรวงศึกษาธิการ.  ถาม – ตอบ ปัญหาการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม.  สำนักพิมพ์          คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. กรุงเทพฯ, 2545.

กองบรรณาธิการ . ออทิสติก. วาสารหมอชาวบ้าน 2544 :23 ,268 :10-16.

จิตติรัตน์   พุกจินดา.  เรื่องธรรมดาของออทิสติก. บริษัทพิมพ์ดี จำกัด. กรุงเทพฯ, 2545. 

ดนุนุช   ตันมณี  (นามปากกา). ออทิสติกฝันให้ไกลไปให้ถึง : เรียนรู้ออทิสซึมระดับรากหญ้าไทย          ในชนบท.เซเปียนส์ . กรุงเทพฯ, 2546.

ดารณี  อุทัยรัตนกิจ.   การศึกษาสาเหตุของปัญหานักเรียนและแนวทางการแก้ไขปัญหาใน          ห้องเรียน. บริษัทเดอะมาสเตอร์  กรู๊ปแมนเนจเม้นท์ จำกัด . กรุงเทพฯ, 2544.

ดุสิต   ลิขนะพิชิตกุล.  พัฒนาการบำบัดสำหรับเด็กออทิสติกตามแนวทางป้าหมอเพ็ญแข. แปลน          พับลิชชิ่งจำกัด. กรุงเทพฯ, 2545.

นิรมล  พัจนสุนทร. ความรู้เรื่องออทิสติกสำหรับผู้ปกครอง  ครู และบุคลกรของสาธาณสุข. โรง          พิมพ์คลังนานาวิทยา. กรุงเทพฯ, 2547.

เพ็ญแข  ลิ่มศิลา. การวินิจฉัยโรคออทิสซึม.  ช.แสงงามการพิมพ์. สมุทรปราการ,2540.

ศรันยา  เผืองผ่อง. คุณภาพชีวิตของมารดาที่มีบุตรเป็นเด็กออทิสติก : ศึกษากรณีโรงพยาบาลยุว

          ประสาทไวทโยปถัมภ์.  วารสารเศรษศาสตร์  2543 : 3 : 73-79.

สุพิชฌาย์  เลาหะพานิช

ศึกษานิเทสก์ สพป.สระบุรี เขต 1